ค้นหา
ผลการค้นหา 1381 - 1400 จาก 1941
LL7838AV
LL7838AV
HD7800B
HD7800B
HD7808B
GC และ ENVICCO จัดงานสัมมนาออนไลน์ เรื่อง พลาสติกรีไซเคิล ทางเลือกหรือทางรอด
GC และ ENVICCO จัดงานสัมมนาออนไลน์
เรื่อง “พลาสติกรีไซเคิล ทางเลือกหรือทางรอด”
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13:30-15:30 น.
ผ่านช่องทาง Microsoft Teams online
โดยได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญเรื่องหลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือเรียกว่าหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ไปยังช่วงต่างๆ ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นการรับคืน การรีไซเคิลและการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ บรรยายโดย ดร.สุจิตรา วาสนาดำรงดี นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วิกฤติขยะในประเทศไทย
ประเทศไทยสร้างขยะประมาณ 27 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ารถยนต์ 27 ล้านคัน
เราผลิตขยะ เฉลี่ย 1.14 กก./คน/วัน สูงกว่าค่าเฉลี่ย ของกลุ่ม ประเทศกำลังพัฒนาที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกัน (Lower Middle Income) 0.79 กก./คน/วัน
ถึงเวลาที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
“ขยะ ” เป็นความร่วมผิดชอบของ ผู้ก่อให้เกิดขยะ ” ตามหลัก Polluter Pay Principle(PPP)
“ขยะ” มิใช่ภาระของ อปท. รัฐต้องแก้ปัญหาความล้มเหลวงของตลาดที่ไม่ได้คิดรวมต้นทุนสิ่งแวดล้อมด้วยกลไก EPR,ภาษี /ค่าธรรมเนียมเข้ากองทุน ฯลฯ
EPR คืออะไร
EPR คือ หลักการทางนโยบายที่ทั่วโลกนำมาใช้เป็นฐานในการออกกฎหมายหรือมาตรการที่ทำให้ผู้ผลิตสินค้าเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบสินค้าที่ตนผลิตตลอดวงจรชีวิตของสินค้านั้นๆ โดยกฎหมายฉบับแรกที่นำหลักการ EPRมาปรับใช้คือกฎหมายจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ของเยอรมนีในปีค.ศ. 1991 จากผลสำเร็จที่กฎหมายช่วยลดปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์ที่ต้องส่งไปกำจัด เพิ่มอัตราการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ ทำให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปเริ่มนำหลักการ EPR มาเป็นฐานในการออกกฎหมายเพื่อจัดการขยะที่ท้องถิ่นจัดการได้ยาก เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์สิ้นสภาพ ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ เป็นต้น
ประโยชน์หากมีกฎหมาย EPR บังคับใช้ในอนาคตการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์
- ราคาวัสดุรีไซเคิลจะผันผวนน้อยลงหรือมีการพยุงราคา
- ส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ในตลาด
- มีความโปร่งใสในระบบ , ยกระดับคุณภาพชีวิตซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า
- ประชาชนส่งคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วได้สะดวก
- อปท . เก็บแยก , จุด drop-off ตามห้าง , ร้านสะดวกซื้อ , ปั๊ม
- มีโปรโมชั่นนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วมาแลกของใหม่
- ประชาชนมีความตระหนักและแยกขยะมากขึ้น
ปัจจุบันมีโครงการนำร่องและกฎหมาย EPR ในไทยและเพื่อนบ้าน เช่น โครงการ PRO Thailand Network ขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ EPR เป็นการรวมตัว บริษัทพันธมิตรชั้นนำในประเทศไทย และในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยประเทศเพื่อนบ้านเริ่มออกกฎหมาย EPR เพื่อจัดการขยะบรรจุภัณฑ์และขยะพลาสติก ,e-waste และซากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปแล้วเช่นกัน
ในประเทศไทยได้ร่างพรบ.การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน และกรมควบคุมมลพิษได้กำหนดแผนงานจัดทำร่างกฎหมาย CE/EPR บรรจุภัณฑ์ตั้งเป้าประกาศใช้ภายในปี 2569 และร่างกม.ส่งเสริม CE ภายในปี 2570
GC และ ENVICCO ร่วมบรรยายเรื่อง “เม็ดพลาสติก PCR InnoEco กับบทบาทสนับสนุน EPR และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยคุณ ธนูพล อมรพิพิธกุล นักวิเคราะห์อาวุโส
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (จำกัด) มหาชน
หัวข้อการบรรยาย
1.ENVICCO’s PCR –Quality, Safety and Environmental Impact
- ENVICCO’s PCR Plastic Circular Economy Collaboration across Plastic Supply chain
- แนะนำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ InnoEco ผลิตจากพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือน ด้วยเทคโนโลยีการรีไซเคิลมาตรฐานยุโรป เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) คุณภาพสูง มีคุณสมบัติเทียบเคียงเม็ดพลาสติกใหม่
- เม็ดพลาสติก PCR 100% ชนิด PET (PCR PET) เกรดสัมผัสอาหาร ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.) เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย โดยสามารถใช้ได้กับบรรจุภัณฑ์ทุกขนาด ทุกความหนา
- เม็ดพลาสติก PCR 100% ชนิด PET (PCR PET) เกรดสัมผัสอาหาร ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลทั้งองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) รวมถึงหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority : EFSA) สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล เช่น ขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำอัดลม
- เม็ดพลาสติก PCR 100% ชนิด HDPE (PCR HDPE) เกรดบรรจุภัณฑ์ และมีเทคโนโลยีขั้นสูงในการกำจัดกลิ่น สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล เช่น ขวดแชมพู ขวดสบู่ แกลลอนน้ำมัน
- วัตถุดิบทั้งหมด 100% เป็นพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนในประเทศไทย โดยทาง GC ร่วมกับ ENVICCO ในการสร้างศูนย์บริหารจัดการขยะรีไซเคิลในหลายจังหวัด ตอบสนองการดำเนินชีวิตของผู้คนและส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการรีไซเคิล รวมถึงสร้างระบบการบริหารจัดการขยะของชุมชนให้ครบวงจร ในระยอง นครปฐม และจังหวัดอื่นๆ โดยนำ ‘GC YOUเทิร์น’ แพลตฟอร์มเข้ามาช่วยจัดการ ตั้งแต่วิธีการคัดแยก การจัดเก็บ การขนส่ง เพื่อส่งต่อให้กับโรงงาน ENVICCO ไปทำการคัดแยกและทำความสะอาด ก่อนจะนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล โดยการปรับปรุงคุณสมบัติด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก จนกลายเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ตลอดจนการติดตั้งระบบการสอบทาน(traceability)อันทันสมัย ทำให้สามารถสอบกลับที่มาของพลาสติกใช้แล้วได้ 100%
2.ความท้าทาย / ประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
- ความท้าทายในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้ง่าย : การเลือกใช้ขวดสี เลือกฉลากที่ทำจาก PVC และการพิมพ์สีลงบนขวด ทำให้การรีไซเคิลทำได้ยากขึ้น
- การรีไซเคิลขวด PET สามารถรีไซเคิลซ้ำได้เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่สามารถทำกำจัดสิ่งแปลกปลอม และปรับปรุงคุณสมบัติของเม็ดพลาสติก PCR PET ให้กลับมามีคุณสมบัติเทียบเท่าเม็ดพลาสติกใหม่ โดยสามารถรีไซเคิลวนซ้ำได้เรื่อยๆ แต่สีของขวดจะมีสีเข้มขึ้น (เม็ดพลาสติกรีไซเคิลทั่วโลกจะมีสีที่เข้มและแตกต่างจากเม็ดพลาสติกใหม่ เนื่องจากการผ่านกระบวนการทำความสะอาดและการผลิตที่ความร้อนสูงเพื่อให้มั่นใจในความสะอาดปลอดภัย สีที่เข้มขึ้นของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจึงเป็นสีแห่งความรักษ์โลกและความปลอดภัย), โดยในยุโรปหรือในสหรัฐฯ เมื่อมีสัดส่วนการใช้รีไซเคิลอย่างแพร่หลายในสัดส่วนที่มากเกือบเท่ากับเม็ดพลาสติกใหม่ (รีไซเคิลในต่างประเทศมีใช้มากว่า 10 ปี) สีขวดจะมีสีเข้ม ในระหว่างนี้ ตลาดเมืองไทยพึ่งเริ่มมีการใช้งาน ทางผู้ผลิตตรสินค้า Brand owner ต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้บริโภคตั้งแต่ต้น
- ความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่คัดแยกขยะ
ซึ่งจะทำให้การรีไซเคิลไม่มีประสิทธิภาพ
ต่อยอดงานออกแบบเพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน ปัญหาเรื่องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกให้ความสำคัญและมีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้น ซึ่งในวงการออกแบบที่ต้องคลุกคลีกับการใช้ทรัพยากรอยู่ตลอดเอง ก็มีการหยิบยกเอาหัวข้อดังกล่าวมาพูดคุย จนนำไปสู่การต่อยอดเป็นชิ้นงานที่จับต้องได้มากมาย อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นฉายภาพการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืนให้เห็นภาพมากยิ่งกว่าเดิม เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ก็ได้มีการจัดโครงการ “Upcycling Upstyling” ขึ้น โดยให้ดีไซเนอร์ชั้นนำจากหลากหลายสาขา มาจับคู่กับผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อผสานนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ สู่การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถขยายโอกาสทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิด Circular Living
แม้ GC จะเดินหน้าในฐานะบริษัทผู้นำที่ลงมือทำเรื่อง Circular Living ผ่านสินค้า Upcycling เสมอมา แต่กับโครงการ “Upcycling Upstyling” ที่พวกเขาจัดขึ้นมานั้น อาจกล่าวได้ว่า มีความพิเศษและแตกต่างออกไปหากเทียบเคียงกับโปรเจ็คต์อื่นๆ โดยโครงการนี้นับเป็นวาระของการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ Upcycling ไปอีกขั้น ด้วยการเน้นให้ความรู้และเสริมสร้างทักษะของผู้ประกอบการด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ Upcycling ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาและให้ความรู้ด้านวัสดุจากทาง GC ควบคู่ไปกับแนวคิดการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นดีไซเนอร์ชั้นนำและมีชื่อเสียงระดับโลกถึง 6 สาขา เพื่อต่อยอดและเปิดมุมมองใหม่ในการเพิ่มคุณค่าทรัพยาการที่ใช้แล้ว ให้กลายเป็นสินค้าหลากหลายที่เปี่ยมไปด้วยความสวยงาม รักษ์โลก และตอบโจทย์การใช้งานจริง ภายใต้คอนเซ็ปต์ของโครงการ นั่นคือ “Up Waste to Value with WOW! Style” นั่นเอง
ทั้งนี้ การเดินหน้าของ GC กับโครงการดังกล่าว นับเป็นการต่อยอดการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมพลาสติก เพื่อส่งเสริมและสร้างการออกแบบที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของ ECO-Design จากพลาสติก 3 ประเภทหลักๆ นั่นคือ พลาสติกแบบดั้งเดิม, พลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastic) และพลาสติกทางชีวภาพ (Bio Plastic)
อย่างไรก็ตาม นอกจากโครงการนี้จะช่วยยกระดับผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มลูกค้าและคู่ค้าของ GC ให้เดินหน้าไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถรับมือกับความท้าทายที่ถาโถมเข้าใส่อุตสาหกรรมพลาสติกโลกแล้ว ทาง GC ยังเน้นเรื่องการให้ความสำคัญกับใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จนต่อยอดไปสู่แนวคิด Circular Living เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และขยายการตระหนักรู้เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนไปยังทุกๆ ภาคส่วนด้วย
สำหรับโครงการ “Upcycling Upstyling” นั้น กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการมีทั้งสิ้น 19 บริษัท ซึ่งมาจากหลากหลายประเภทอุตสาหกรรม อาทิ ผู้ประกอบการด้านบรรจุภัณฑ์, ผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมประมง (แห, อวน) และสถานประกอบการทางการแพทย์ (โรงพยาบาล) ฯลฯ ขณะที่ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญ (Expert of Style) ที่จะร่วมพัฒนาผลงานกับผู้ประกอบการนั้น ได้แก่
- คุณพลอยพรรณ ธีรชัย กับคุณเดชา อรรจนานันท์ จากแบรนด์ THINKK STUDIO และคุณธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์ จากแบรนด์ Qualy ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Industrial Design
- คุณกรกต อารมย์ดี จากแบรนด์ KORAKOT และคุณศุภพงศ์ สอนสังข์ จากแบรนด์ jird ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Craft & Wood Design
- คุณรรินทร์ ทองมา จากแบรนด์ O&B และคุณยุทธนา อโนทัยสินทวี จากแบรนด์ The Remaker ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Fashion Design
- คุณเอก ทองประเสริฐ จากแบรนด์ Ek Thongprasert และคุณศรัณย์ อยู่คงดี จากแบรนด์ SARRAN ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Material & Jewelry Design
- คุณสมชนะ กังวารจิตต์ จากแบรนด์ Prompt Design ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Packaging Design
- คุณรติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ จากแบรนด์ Openbox ผู้เชี่ยวชาญในหมวด Architecture Design
หลังจากนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการกับผู้ประกอบการที่มีการจับคู่กันเรียบร้อยแล้ว จะมีการร่วมกันคิดและสร้างสรรค์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ Upcycling ที่สามารถส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนเกิดเป็นจริงขึ้น ซึ่งอีกไม่นานเกินรอ ผลลัพธ์จากความร่วมมือกันดังกล่าว นอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มเติมขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังอาจมีส่วนทำให้เกิดความตระหนักรู้และความเข้าใจถึงการเลือกใช้งานพลาสติกแต่ละประเภท อันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือ การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตามปณิธานของ GC เกี่ยวกับ Circular Living ด้วยนั่นเอง
บทสรุปและผู้ชนะของพลาสติกสร้างฝัน ก้าวแรกสู่มืออาชีพ
หลังโครงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากพลาสติกหรือ “Crafting Your Own Business พลาสติกสร้างฝัน ก้าวแรกสู่มืออาชีพ” เริ่มต้นรับสมัครผู้ที่มีไอเดียบรรเจิดมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ในที่สุด โค้งสุดท้ายของการประกวดดังกล่าวก็มาถึง เมื่อในวันที่ 4 ตุลาคม ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป เราก็ได้เห็นโฉมหน้าของผู้ชนะ และไอเดียสร้างสรรค์ที่พวกเขานำเสนอออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ทันทีที่การ Final Pitching ณ ศูนย์ Customer Solution Center Studio ต่อหน้าคณะกรรมการฯ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสถาบันพลาสติก ของ 10 ทีมสุดท้ายที่เข้ารอบการประกวดจบลง รางวัลชนะเลิศของผู้ที่เข้าประกวดการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากพลาสติก ภายใต้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า “Crafting Your Own Business พลาสติกสร้างฝัน ก้าวแรกสู่มืออาชีพ” ก็ถูกประกาศออกมาเสียที
โดยผลงานที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย ซึ่งเข้ามาเป็นกรรมการตัดสิน พร้อมให้แนวทางในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ระดับอุตสาหกรรม ก็คือ ผลงาน GREENGREAT ซึ่งเป็นทีมที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ นายกาจบัณฑิต เหมือนโถม, นางสาวชนนิกานต์ สุวรรณนภาศรี และนางสาวศิวดาติ์ โพธิ์สะอาด
ขณะที่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นั้น ได้แก่ ผลงาน SADSAN ของนายธนกิจ ศรีรุจิกุลธเนศ ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เป็นของผลงานถังขยะ 4R ซึ่งเป็นทีมที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน คือ นางสาวนงลักษณ์ กรุทฤทธิ์, นางสาวศิริกาญจน์ สายสมร และนางสาวพิมพ์ชนก อ่อนมา นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับทีมที่มีผลงานเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้าย แม้ว่าจะต้องชวดรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทั้งหมดก็ยังได้รับโอกาสในการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างเสริมนวัตกรรมในตัวผลิตภัณฑ์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจให้สามารถต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมได้มากยิ่งขึ้น ไม่หมดเพียงเท่านั้น ทั้ง 10 ทีมเหล่านี้ ยังได้รับโอกาสในการจัดแสดงผลงานบนพื้นที่ของทั้ง 3 หน่วยงานที่เป็นโต้โผหลักในการจัดโครงการดีๆ ที่ว่ามานี้ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ Customer Solution Center Studio ของ GC ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขากล้วยน้ำไท, พื้นที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล้วยน้ำไท และศูนย์ ITC อีกต่างหาก
บทสรุปที่ได้จากโครงการ “Crafting Your Own Business พลาสติกสร้างฝัน ก้าวแรกสู่มืออาชีพ” นี้ นอกจากเราจะได้เห็นการต่อยอดไอเดีย ที่นำไปสู่การลงมือทำเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันจากพลาสติก ซึ่งจับต้องได้จริงแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ยืนยันความจริงข้อหนึ่งแบบหนักแน่นด้วยว่า การใช้ความคิดสร้างสรรค์มาครีเอทให้เกิดเป็นรูปธรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ และยังประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน
เศรษฐกิจชีวภาพ หนึ่งในฟันเฟืองใหม่ขับเคลื่อนอนาคต
นานแค่ไหนแล้ว ที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้แบบเดิมๆ จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หรือวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันมีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่ออนาคตดูเหมือนจะเดินทางมาถึงจุดตีบตัน แน่นอนว่า แนวคิดหรือวิธีการใหม่ๆ ก็เริ่มที่ถูกนำเสนอในฐานะที่เป็นทางออกเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในประตูแห่งความหวังที่มีการพูดกันมาได้สักพักแล้วก็คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในฟันเฟืองของเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) นั่นเอง ว่าแต่เศรษฐกิจชีวภาพคืออะไร? แล้วมันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน
เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) คืออะไร?
เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) คือ การนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้สำหรับการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าแก่ผลผลิต โดยมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในการเสริมความเข้มแข็งของภาคการเกษตรในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้สูงยิ่งขึ้น เปลี่ยนจากการสร้างผลิตภัณฑ์แบบเดิมมาเป็นการสร้างกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมแบบสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงคุณค่าที่สูงขึ้นของผู้บริโภค
ทั้งนี้ เศรษฐกิจชีวภาพมุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจจากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) 17 เป้าหมายที่ทางสหประชาชาติกำหนดเอาไว้ ซึ่งทั้ง 17 เป้าหมายดังกล่าวจะมีเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพรวมอยู่ในนั้นถึง 11เป้าหมาย ได้แก่
เป้าหมายที่ 1 : ขจัดความยากจน
เป้าหมายที่ 2 : การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืน
เป้าหมายที่ 3 : การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
เป้าหมายที่ 7 : พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้
เป้าหมายที่ 8 : การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายที่ 9 : อุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน
เป้าหมายที่ 10 : การลดความเหลื่อมล้ำ
เป้าหมายที่ 12 : แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน
เป้าหมายที่ 13 : การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป้าหมายที่ 14 : การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล และ
เป้าหมายที่ 15 : การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบก
นอกจากนี้ เศรษฐกิจชีวภาพยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจนครบวงจร (Life cycle) อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนของทั้งระบบเศรษฐกิจ ที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดมลภาวะที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม (Zero Waste) อีกต่างหาก
ไม่หมดเพียงเท่านั้น เศรษฐกิจชีวภาพยังมีส่วนเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษที่โลกกำลังเผชิญอยู่ และอาจร่วมกับชีวสารสนเทศ (bioinformatics) เช่น การใช้เซนเซอร์ตรวจวัดข้อมูลในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน แล้วนำข้อมูลมาใช้กับ AI ในการวิเคราะห์ เพื่อหาทางปรับปรุงลดการใช้พลังงาน หรือเพิ่มผลผลิตโดยใช้พลังงานเท่าเดิมด้วย
เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ดีอย่างไร?
เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างมากมาย โดยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพจะนำเอาความรู้ใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ตลอดจนทำให้เกิดการพัฒนาด้านการเกษตรและอาหาร ตั้งแต่
การสร้างพันธ์พืชใหม่ๆ ที่มีความหลากหลาย อีกทั้งยังช่วยในการการปรับปรุงให้เกิดวิธีการผลิตแบบใหม่ด้วย
นอกจากนี้ เศรษฐกิจชีวภาพยังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม ในการสร้างสรรค์ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำจากพลาสติกชีวภาพและวัสดุชนิดใหม่ ขณะเดียวกัน ยังสามารถนำสินค้าเกษตรบางชนิดไปผ่านกระบวนการชีวภาพ เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพหรือไบโอเอทานอล ซึ่งช่วยยกระดับความเป็นอยู่ให้กับสังคม ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และของเสีย ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานทางเลือก และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหาร อีกต่างหาก
ด้านสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้กล่าวถึงข้อดีของเศรษฐกิจชีวภาพเอาไว้เพิ่มเติมด้วย ได้แก่
- เศรษฐกิจชีวภาพเป็นกลไลที่มุ่งสู่ความยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ข้อของสหประชาชาติ
- เศรษฐกิจชีวภาพให้ความสำคัญกับการลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- เศรษฐกิจชีวภาพทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง
- เศรษฐกิจชีวภาพช่วยให้เกิดการลดการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- เศรษฐกิจชีวภาพสนับสนุนการผลิตพลังงานทางเลือก เช่น ไบโอดีเซล, เอทานอล และก๊าซชีวภาพ
- เศรษฐกิจชีวภาพช่วยเพิ่มขนาดตลาดแรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต เข้าถึงผลิตภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์
ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดเป็นอันดับ 8 ของโลก การใช้ฐานภูมิปัญญาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อนที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีต หลอมรวมเข้ากับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความเข้าใจในคุณสมบติที่หลากหลายทางชีวภาพ อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญนำไปสู่การก่อเกิดผลิตภัณฑ์ที่ขยายออกไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การผลิตอาหาร, การแพทย์, การผลิตเสื้อผ้า และของใช้อื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ นับเป็นแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ที่จะช่วยสร้างทั้งคุณค่าและมูลค่าให้แก่เศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
“ENVICCO และ เป๊ปซี่ เปิดตัวการใช้งานเม็ดพลาสติก InnoEco PCR PET ครั้งแรกในไทย”
5 เมษายน 2566 บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) บริษัทใน GC Group ร่วมมือกับพันธมิตร โดยบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด และสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) จัดงานแถลงข่าว “Pepsi Recycled PET Bottle Campaign” อย่างเป็นทางการ เดินหน้าปลุกพลังสำนึกรักสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประกาศความพร้อมในการใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% (ขวด PCR PET 100%) เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งจะวางจำหน่ายภายในเดือนเมษายน 2566 ภายใต้แคมเปญสุดว้าว “สำนึกซ่า กล้าเปลี่ยนเพื่อโลก” ตอกย้ำความเป็นแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมยอดนิยม ที่นำเสนอเทรนด์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์สุดซ่าขวัญใจวัยรุ่นที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยจะเริ่มโมเม้นท์สำคัญครั้งแรกร่วมกับ PMCU ติดตั้งถังขยะดีไซน์พิเศษสำหรับใส่ขวด PET ทั่วบริเวณสยาม สแควร์ ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์นี้ - ธันวาคม 2566 และผนึกกำลังกับ ENVICCO ผู้ผลิตเม็ด PCR PET ที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย เป็นเจ้าแรก ส่งเสริม Bottle-to-Bottle Recycling มุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
คุณอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แคมเปญนี้เป็นการประกาศความพร้อมในการใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม นำร่องด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่® ขนาด 550 มิลลิลิตร เพื่อช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin PET) อย่างเป็นรูปธรรม มีเจตนารมณ์เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดึงดูดให้คนรุ่นใหม่วัยซ่าหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาขยะพลาสติกและการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งคุณวรพงศ์ สุขธีรอนันตชัย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิด SAMYAN SMART CITY ที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นย่านแห่งนวัตกรรมที่สร้างสรรค์คุณค่าแก่ชุมชนและสังคมผสานกับคุณภาพชีวิต และโครงการการจัดการขยะ (Waste Management) ที่ร่วมกับ CHULA ZERO WASTE ซึ่งดำเนินการโดยยึดหลักการลดขยะที่ต้นทางและการจัดการขยะปลายทางให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste)
ทางด้านคุณณัฐนันท์ ศิริรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด หรือ ENVICCO บริษัทในกลุ่ม GC กล่าวว่า ในฐานะผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ PCR PET (Post-Consumer Recycled PET) มีเป้าหมายสำคัญคือการคืนคุณค่าให้กับพลาสติกใช้แล้วให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่คุณภาพสูง ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมด 100% เป็นพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย จากเครือข่ายพันธมิตรและชุมชนต่างๆ ด้วยการใช้เทคโนโลยีการรีไซเคิลที่ทันสมัย ควบคุมการผลิตตลอดกระบวนการโดยห้องปฏิบัติการมาตรฐานยุโรปภายในโรงงาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR PET 100% ภายใต้แบรนด์ InnoEco เกรดสัมผัสอาหารที่มีคุณภาพสูง ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ทั้ง USFDA และ อย.เป็นรายแรกของประเทศไทย สามารถใช้ผลิตเป็นภาชนะบรรจุภัณฑ์สัมผัสอาหารได้ พร้อมได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลกมากมาย ซึ่งเป็นการการันตีคุณภาพและความน่าเชื่อถือของ EVICCO ว่าพลาสติกรีไซเคิล ชนิด PCR PET ที่ผลิตให้แก่ทางบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มเป๊ปซี่นั้น มีคุณสมบัติโดดเด่น สะอาด และปลอดภัยตามมาตรฐาน อย. และมาตรฐานระดับสากล รวมทั้งตอบโจทย์การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
งานออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติกสุดว้าวสำหรับบ้านในอนาคต จากโครงการ Creative Plastic Academy 2021 โดย GC และ CEA
โลกกำลังท้าทายเราจากหลายมิติ สังคมผู้สูงอายุ ภัยจากธรรมชาติ และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ...แล้วบ้านในอนาคตจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเราอย่างไร !?!?
Creative Plastic Academy 2021 จึงเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เพื่อให้นักออกแบบได้เรียนรู้และเข้าใจพลาสติกอย่างครบวงจร และนำพลาสติกมาออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับการอยู่อาศัยในอนาคต ร่วมกับทีมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสถาบัน ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยที่ตอบสนองคนหลายรุ่น (Universal Design) การอยู่อาศัยเพื่อรับมือภัยพิบัติ (Preventive House) และการอยู่อาศัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส (Hygienic House) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศแต่ละกลุ่มมีดังนี้
1. Universal Design - ขวดน้ำปลาเพื่อสุขภาวะที่ดี (Kidney & Heart) โดยทีม Baby Boss
Kidney & Heart คือขวดเครื่องปรุง (น้ำปลา/ซอส) ที่จะช่วยควบคุมปริมาณโซเดียมในการปรุงอาหาร โดยออกแบบให้เป็นขวดรูปทรงไตและหัวใจที่เป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากการกินเค็มมากเกินไป เพื่อให้ผู้ใช้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพ และการออกแบบมือจับที่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานทุกรูปแบบ โดยเฉพาะคนตาที่บอด คนแก่ คนกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง ให้สามารถปรุงอาหารได้ ด้วยการตวงปริมาณที่แม่นยำและเหมาะสมต่อวัน
พลาสติกที่ใช้ผลิตขวดน้ำปลาเพื่อสุขภาวะที่ดี คือ PP สำหรับส่วนฝาและมือจับ HDPE สำหรับตัวขวด ด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบ Injection molding และซิลิโคน สำหรับส่วนหัวใจและไต
2. Preventive House – เก้าอี้สนามลอยน้ำได้ (PAR~LOY) โดยทีม SYMmetrical
PAR~LOY คือชุดโต๊ะและเก้าอี้สนามที่มีประโยชน์เมื่อน้ำท่วม ด้วยการออกแบบที่นำหลักการลอยตัวของเรือ Catamaran มาปรับใช้เพื่อให้เก้าอี้สามารถถอดประกอบและลอยน้ำได้ โดยประยุกต์ใช้เป็นที่เก็บของ ที่สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 160 กิโลกรัม ขณะที่โต๊ะสามารถปรับใช้เป็นทางเดินหนีน้ำได้
พลาสติกที่ใช้ผลิตเก้าอี้สนามลอยน้ำได้ คือ LLDPE ด้วยกระบวนการขึ้นรูปแบบ Rotational molding และ PU Foam สำหรับส่วนเก้าอี้ และไม้เทียม สำหรับโต๊ะ
![]() | ![]() |
3. กลุ่ม Hygienic House - ประตูป้องกันไวรัส (Digital Door Lock) โดยทีม Sandbox
DIGITAL DOOR LOCK คือชุดด้ามจับประตูแบบใส่รหัส ออกแบบโดยคำนึงถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ด้วยฟังก์ชั่นการฆ่าเชื้อไวรัสที่อาจติดมากับของใช้ส่วนตัวโดยแสง UV เซนเซอร์พ่นแอลกอฮอล์ และวัดอุณหภูมิ ช่องทิ้งหน้ากากอนามัยก่อนเข้าบ้าน สร้างความมั่นใจด้านความสะอาด ปลอดภัย ให้กับผู้ใช้งานทั้งก่อนออกจากที่พักและเข้าที่พัก
พลาสติกที่ใช้ผลิตประตูป้องกันไวรัส คือ PC High gloss สำหรับส่วนที่เป็นกรอบชุดด้ามจับประตูที่เป็นสีดำ และ Stainless steel สำหรับส่วนมือจับ
![]() | ![]() | ![]() |