โซลูชั่นส์

ฟิล์มเพื่อการเกษตร

ฟิล์มเพื่อการเกษตรได้รับการออกแบบให้มีความคงทนต่อการใช้งาน และมีคุณสมบัติที่หลากหลาย เช่น การสะท้อนรังสียูวีและความร้อน ในปัจจุบัน เทคโนโลยีในการผลิตฟิล์มได้รับการพัฒนามากขึ้น และฟิล์มเพื่อการเกษตรได้ถูกผลิตเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น ฟิล์มคลุมโรงเรือน ฟิล์มปูบ่อ ฟิล์มคลุมดิน ถุงเพาะ เป็นต้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตที่ดีขึ้น และใช้งานผลิตภัณฑ์ได้สะดวกและคุ้มค่า

ฟิล์มเพื่อการเกษตร
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์

โซลูชั่นส์ด้านผลิตภัณฑ์

icon ท่อเกษตร

ท่อเกษตร

ท่อเกษตรเป็นท่อพลาติกที่มีความแข็งแรง ทนทาน ใช้สำหรับชลประทานให้กับพืชพันธุ์ทางการเกษตร

เพิ่มเติม

icon โฟมห่อกล้วย

โฟมห่อกล้วย

เพิ่มเติม

icon ฟิล์มเคลือบ

ฟิล์มเคลือบ

ฟิล์มเคลือบ คือการนำแผ่นฟิล์มบาง ๆ มาเคลือบลงบนพื้นผิวของวัสดุต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษ เช่น ความทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วน ความชื้น และเพิ่มความสวยงาม ตัวอย่าง เช่น ฟิล์มเคลือบบนกระดาษใช้สำหรับห่ออาหาร เป็นต้น

เพิ่มเติม

icon ท่อน้ำหยด

ท่อน้ำหยด

ท่อน้ำหยดเป็นท่อพลาติกที่มีความยืดหยุ่น มีความทนทาน ไม่ฉีกขาดง่าย สามารถใช้รดน้ำให้กับพืชได้ในทุกพื้นที่ เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ปลูกพืช

เพิ่มเติม

icon อื่น ๆ

อื่น ๆ

ผลิตภัณฑ์ LDPE, LLDPE และ HDPE สำหรับบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนที่มีคุณสมบัติพิเศษ เหมาะสําหรับการนำไปผลิตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายได้ตามความต้องการ เช่น โฟม

เพิ่มเติม

icon สแลทพลาสติก

สแลทพลาสติก

สแลทพลาสติกเป็นแผ่นพลาสติกใช้สำหรับปูพื้นให้กับสัตว์ เช่น สุกร ไก่ ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ทำให้แห้ง มีความแข็งแรงทนทาน ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย และป้องกันสัตว์ไม่ให้เกิดโรค

เพิ่มเติม

FAQ

  1. Q : ผิวฟิล์มหยาบ ขรุขระ ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
    - มีเนื้อพลาสติกมากเกินไปจากการอัดรีด
    - อุณหภูมิที่ท่าให้พลาสติกหลอมต่ําเกินไป
    - หัวดายสกปรก
    - วัตถุดิบที่ใช้มีความแตกต่างของอัตราการไหลมาก
    - อุณหภูมิที่หัวดายต่ําเกินไป

    A :
    - ลดรอบสกรู เพื่อลดเนื้อพลาสติกที่ถูกอัดรีด
    - เพิ่มอุณหภูมิการขึ้นรูป
    - ทําความสะอาดหัวดาย
    - เปลี่ยนวัตถุดิบ หรือทําการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงผสมผสานให้เท่ากับช่วงท้ายของการอัดเกลียว
    - เพิ่มอุณหภูมิที่หัวดาย

  2. Q : เกิดตาปลาหรือสิ่งแปลกปลอมที่ผิวฟิล์ม
    - มีสิ่งแปลกปลอม เช่น ผงฝุ่น เศษ พลาสติก และอื่น ๆ ปะปนอยู่
    - ตะแกรงขาด
    - มีพลาสติกหลอมตกค้างที่การอัดหรือดาย
    - เกิดการเสื่อมสภาพของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่น่ามาผสม
    - เกิดจากมีวัตถุดิบที่มีความหนืดสูงผสมอยู่

    A :
    - ตรวจสอบระบบป้อนเม็ดพลาสติก
    - เปลี่ยนตะแกรงใหม่
    - ทําความสะอาดเครื่องอัด หัวดาย
    - ตรวจสอบคุณภาพเม็ดพลาสติกและเม็ดหลอมที่ใช้ผสม
    - เปลี่ยนวัตถุดิบ หรือทําการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงส่วนผสม (Mixing Zone) ให้เท่ากับช่วงท้ายของส่วนอัดรีด

  3. Q : ฟิล์มเกิดรอยยับย่น
    3.1 ลูกโป่งไม่นิ่ง
    3.2 เกิดลักษณะการอัดรีดเป็นช่วง ๆ ไม่ต่อเนื่อง / พลาสติกออกมาไม่สม่าเสมอ
    3.3 ลมที่เป่าจากวงแหวนลมไม่เหมาะสม
    3.4 อัตราการดึงม้วนฟิลมไม่เหมาะสม
    3.5 มีเทปหรือสิ่งสกปรกติดบนลูกกลิ้ง
    3.6 ลูกคกลึงรวบฟิล์ม และดายไม่ได้ระดับ
    3.7 ลูกโป่งไม่เป็นเนื้อเดียวกัน

    A :
    3.1.1 ปรับแต่งระยะวงแหวนลม (Air Ring) ด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียด โดยใช้ caliper และ split level
    3.1.2 ทำความสะอาดและปรับวงแหวนลม เพื่อให้ลมที่เป่าออกมามีความสม่ำเสมอและคงที่
    3.2.1 ตรวจสอบระบบการป้อนพลาสติก และเพิ่มอุณหภูมิช่วงป้อนหากพบว่าปริมาณน้ําหล่อเย็นใต้ถังบรรจุเม็ดไม่เพียงพอ
    3.2.2 ตรวจสอบระบบการควบคุมอุณหภูมิหากพบว่าอุณหภูมิการขึ้นรูปในกระบอกไม่เหมาะสม
    3.2.3 ลดอุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดให้เหมาะสมหากพบว่า อุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดสูงเกิน ท่าให้เม็ดไหลไม่ต่อเนื่อง
    3.3 ปรับวงแหวนลม เพื่อปรับแต่งความแรงของลม
    3.4 ปรับระบบม้วนฟิล์ม
    3.5 ทำความสะอาดลูกกลิ้ง
    3.6 ปรับให้ได้ระดับ
    3.7.1 ปรับอุณหภูมิดายให้เท่ากับอุณหภูมิพลาสติกเหลว
    3.7.2 ปรับดายให้ได้ลูกโป่งที่เป็นเนื้อเดียวกัน
    3.7.3 ท่าความสะอาดจานลม

  4. Q : การฉีกขาดง่ายตามแนวเครื่องจักร (แนว MD)
    4.1 อัตราการเบ่งของลูกโป่ง (BUR) ดําเกินไป ทําให้การจัดเรียงตัวของโมเลกุลตามแนว ID น้อยเกินไป
    4.2 ความสูงของแนวเส้นแข็งตัวของฟิล์มต่ําเกินไป
    4.3 ช่องว่างดายกว้างเกินไป
    4.4 เกิดจากการที่ผิวฟิล์มมีความเสียหาย หรือรอยบาก

    A :
    4.1 ปรับเพิ่มอัตราการเบ่ง หรือใช้หัวดายที่มีขนาดเล็กลง
    4.2 ปรับเพิ่มความสูงของแนวเส้นแข็งตัวของฟิล์มแต่ให้ระวังการส่ายของลูกโป่ง และคุณสมบัติอื่นที่อาจเปลี่ยนไป
    4.3 ปรับลดช่องว่างดาย
    4.4 ตรวจสอบสภาพผิวฟิล์ม ทําความสะอาดหัวดาย ดรวจสอบหรือเปลี่ยนอุปกรณ์

  5. Q : ความหนาบางไม่สม่ําเสมอในแนวขวางเครื่องจักร (ID)
    5.1 เกิดการสกปรกสะสมที่หัวดาย ทําให้การไหลไม่สม่ำเสมอ
    5.2 อุณหภูมิรอบนอกดายและลูกโป่งไม่เหมาะสม ทำให้พลาสติกหลอมไหลออกมาไม่สม่ำเสมอ
    5.3 อุณหภูมิพลาสติกหลอมไม่เหมาะสม
    5.4 การควบคุมความหนาบางไม่เหมาะสม

    A :
    5.1 ทำความสะอาดดาย
    5.2 ตรวจสอบอัตราการเป่าลม
    5.3 ปรับอุณหภูมิพลาสติกหลอม
    5.4 ปรับการควบคุม โดยใช้ Adjustment Bolt

  6. Q : ความหนาบางไม่สม่ำเสมอในแนวเครื่องจักร (MD)
    6.1 เกิดจากการอัดรีดที่เป็นช่วง ๆ ไม่ต่อเนื่อง
    6.2 ลูกโป่งเกิดการแกว่งและสาย

    A :
    6.1.1 ตรวจสอบระบบการป้อนพลาสติก และเพิ่มอุณหภูมิช่วงป้อนหากพบว่าปริมาณน้ำหล่อเย็นใต้ ถังบรรจุเม็ดไม่เพียงพอ
    6.1.2 ตรวจสอบระบบการควบคุมอุณหภูมิหากพบว่า อุณหภูมิการขึ้นรูปในกระบอกไม่เหมาะสม
    6.1.3 ลดอุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดให้เหมาะสมหากพบว่า อุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดสูงเกิน ทําให้เม็ดไหลไม่ต่อเนื่อง
    6.2.1 ปรับลดอุณหภูมิกระบอกสูบลง หากพบว่าอุณหภูมิพลาสติกเหลวสูงเกินไป
    6.2.2 ปรับอัตราและทิศทางลมเป่าอัตราลมเป่าจากจานลมสูงเกินไป

  1. Q : ลูกโป่งสั่น และส่าย
    1.1 อุณหภูมิพลาสติกเหลวสูงเกินไป
    1.2 อัตราลมเป่าจากจานลมสูงเกินไป

    A :
    1.1 ปรับลดอุณหภูมิกระบอกสูบลง
    1.2 ปรับอัตราและทิศทางลมเป่า

  2. Q : ลูกโป่งเบี้ยว ไม่สมมาตร
    2.1 ความหนาบางไม่สม่ำเสมอ
    2.2 การจัดวางตําแหน่งและระดับของวงแหวนลมเป่าไม่เหมาะสม
    2.3 ตะแกรงดัน

    A :
    2.1 ตรวจสอบและควบคุมความหนาของฟิล์ม
    2.2 ปรับแต่งระยะวงแหวนลม (Air Ring) ด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียด โดยใช้ caliper และ split level
    2.3 เปลี่ยนตะแกรง

  3. Q : ลูกโป่งแตก มีรูรั่ว หรือฟองอากาศ
    3.1 เกิดจากเจลที่ผิวฟิล์ม
    3.2 มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนในพลาสติก
    3.3 เกิดการเสื่อมสภาพของเม็ดพลาสติกเครื่องอัดรีด
    3.4 วัตถุดิบเปียกชื้น

    A :
    3.1.1 ดรวจสอบระบบป้อนเม็ดพลาสติกหากพบว่ามีสิ่ง แปลกปลอม เช่น ผงฝุ่น เศษพลาสติก และอื่น ๆ ปะปนอยู่
    3.1.2 เปลี่ยนตะแกรงใหม่หากพบว่าตะแกรงขาด
    3.1.3 ทําความสะอาดเครื่องอัด หัวดายหากพบว่ามีพลาสติกหลอมตกค้างที่เครื่องอัด หรือดาย
    3.1.4 ตรวจสอบคุณภาพเม็ดพลาสติกและเม็ดหลอมที่ ใช้ผสมหากพบการเสื่อมสภาพของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่นํามาผสม
    3.1.5 เปลี่ยนวัตถุดิบ หรือทําการเพิ่มอุณหภูมิในช่วงส่วนผสม (Mixing Zone) ให้เท่ากับช่วงท้ายของส่วนอัดรีดหากมีวัตถุดิบที่มีความหนืดสูงผสมอยู่
    3.2 ตรวจสอบระบบป้อนเม็ดพลาสติก
    3.3.1 เปลี่ยนตะแกรงใหม่หากพบว่าตะแกรงขาด
    3.3.2 ท่ำความสะอาดเครื่องอัด หัวดายหากพบว่ามีพลาสติกหลอมตกค้างที่เครื่องอัด หรือดาย
    3.4 ทำวัตถุดิบให้แห้ง เช่น ตากแดด

  4. Q : การอัดรีดเป็นระลอก ไม่ต่อเนื่อง
    4.1 ปริมาณน้ำหล่อเย็นใต้ถังบรรจุเม็ดไม่เพียงพอ
    4.2 อุณหภูมิการขึ้นรูปในกระบอกไม่เหมาะสม
    4.3 อุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดสูงเกิน ทําให้เม็ดไหลไม่ต่อเนื่อง

    A :
    4.1 ตรวจสอบระบบการป้อนพลาสติก และเพิ่มอุณหภูมิช่วงป้อน (Feed Zone)
    4.2 ตรวจสอบระบบการควบคุมอุณหภูมิ
    4.3 ลดอุณหภูมิใต้ถังบรรจุเม็ดให้เหมาะสม

  1. Q : เส้นใยมีขนาดไม่สม่ำเสมอ
    1.1 ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดายไม่สม่ําเสมอ จากการสะสมของสิ่งสกปรก
    1.2 เกิดการอัดรีดไม่สม่ำเสมอ (Surging) หรือการดึงยืดไม่สม่ําเสมอ
    1.3 เส้นใยเกิดลื่นหรือเลื่อนบนลูกกลิ้งดึงยืด

    A :
    1.1 ตรวจสอบและทําความสะอาดหัวดาย
    1.2 ตรวจสอบระบบการอัดรีด และการดึงยืด
    1.3.1 ตรวจสอบและปรับผิวของลูกกลิ้งดึงยึดให้เรียบ
    1.3.2 เพิ่มแรงกดของลูกกลิ้งหนีบให้แน่นขึ้น

  2. Q : เส้นใยขาดที่หัวดาย
    2.1 มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่ในเนื้อพลาสติก หรือเกิดจากเนื้อพลาสติกไหม้
    2.2 มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่ในเนื้อพลาสติก
    2.3 อุณหภูมิการขึ้นรูปไม่เหมาะสม

    A :
    2.1 ทําความสะอาดเครื่องอัดรีดและหัวดาย
    2.2.1 ตรวจสอบพลาสติกที่ใช้ และระบบป้อนพลาสติก
    2.2.2 ตรวจสอบตะแกรง
    2.3 ปรับอุณหภูมิการขึ้นรูปให้เหมาะสม

  3. Q : เส้นใยขาดขณะดึงยึด
    3.1 เกิด Melt Fracture
    3.2 เกิดช่องว่างในเนื้อพลาสติก (Void)
    3.3 มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่ในเนื้อพลาสติก หรือเกิดจากเนื้อพลาสติกไหม้
    3.4 มีพลาสติกเสื่อมสภาพบริเวณดาย
    3.5 ลูกกลิ้งดึงยึดทำงานหรืออยู่ในสภาพไม่เหมาะสม
    3.6 ความเร็วในการอัดรีดสูงเกินไป
    3.7 อัตราเท่ายึดมากเกินไป
    3.8 อุณหภูมิอ่างน้ำร้อนต่ำเกินไป

    A :
    3.1 เพิ่มอุณหภูมิในการอัดรีด
    3.2.1 เพิ่มอุณหภูมิอ่างน้ำเย็น
    3.2.2 ลดอุณหภูมิในการอัดรีด
    3.2.3 ปรับระยะห่างระหว่างหน้าดายและน้ำหล่อเย็นให้กว้างขึ้น
    3.3.1 ตรวจสอบพลาสติกที่ใช้ และระบบป้อนพลาสติก
    3.3.2 ถอด และทำความสะอาดเครื่องอัดรีดและหัวดาย
    3.3.3 ตรวจสอบตะแกรง
    3.4.1 ตรวจสอบส่วนผสมอื่น เช่น เม็ดสีซึ่งอาจเกิดการเสื่อมสลายได้
    3.4.2 ตรวจสอบอุณหภูมิการขึ้นรูป
    3.5.1 ปรับการทํางานของลูกกลิ้งดึงยืดให้ดึงยืดอย่างสม่ำเสมอ
    3.5.2 แก้ไขไม่ให้เส้นใยบนผิวลูกกลิ้งลื่นไถล
    3.6 ปรับลดความเร็วในการอัดรีด
    3.7 ปรับลดอัตราเท่ายืด
    3.8 ปรับเพิ่มอุณหภูมิอ่างน้ำร้อน

  4. Q : เกิดคราบเกาะที่หัวดาย
    4.1 อุณหภูมิการขึ้นรูปสูงเกินไป
    4.2 มีการปนเปื้อนสารที่ไม่ทนต่อความร้อนอยู่

    A :
    4.1 ลดอุณหภูมิการขึ้นรูปและอุณหภูมิดาย
    4.2 ตรวจสอบเม็ดพลาสติกและส่วนผสมที่ใช้

  5. Q : เส้นใยมีอัตราการยืดตัว เหลือมากเกินไป

    A : เพิ่มอัตราดึงยืด

  6. Q : ความหนาแน่นของเส้นใยต่ำเกินไป

    A : เพิ่มอัตราดึงยืด

  1. Q : เกิดรอยแหว่ง ไม่เต็ม
    1.1 การไหลของพลาสติกเหลวช้าเกินไป
    1.2 เกิดแรงต้านการไหลในระบบทางเข้าและการเติมพลาสติกเหลวเข้าแม่พิมพ์
    1.3 อุณหภูมิแม่พิมพ์ต่ำเกินไป ทำให้พลาสติกเหลวไหลไม่ดี

    A :
    1.1 ปรับเพิ่มอุณหภูมิกระบอกฉีด หรือปรับเพิ่มความเร็วฉีด
    1.2.1 เพิ่มขนาดของ Gate ให้ใหญ่ขึ้น หรือลดความยาว Gate ให้สั้นลง
    1.2.2 ปรับเพิ่มขนาดของ Sprue และ Runner ให้ใหญ่ขึ้น หรือลดความยาวของ Sprue และ Runner ให้สั้นลง
    1.3 ปรับเพิ่มอุณหภูมิแม่พิมพ์

  2. Q : เกิดรอยเชื่อมประสาน
    2.1 การไหลของพลาสติกเหลวช้าเกินไป
    2.2 ความดันในการฉีดต่ำเกินไป
    2.3 อุณหภูมิแม่พิมพ์ต่ําเกินไป

    A :
    2.1.1 ปรับเพิ่มอุณหภูมิกระบอกฉีด
    2.1.2 ใช้เม็ดพลาสติกที่มีอัตราการไหลเพิ่มขึ้น
    2.2 ปรับเพิ่มความดันในการฉีด
    2.3 ปรับเพิ่มอุณหภูมิแม่พิมพ์

  3. Q : เกิดรอยไหม้ (Scorch หรือ Burn)
    3.1 อุณหภูมิสะสมของพลาสติกในแม่พิมพ์สูงเกินไป
    3.2 การระบายอากาศภายในแม่พิมพ์ โดยเฉพาะส่วนปลายสุดไม่เพียงพอ จึงเกิดรอยไหม้จากการเสียดสี และสะสมของเนื้อพลาสติก

    A :
    3.1 ปรับลดอุณหภูมิกระบอกฉีด
    3.2 เพิ่มรูระบายอากาศที่แม่พิมพ์

  4. Q : เกิดรอยยุบ (Sink Mark)
    4.1 ความดันในการฉีดต่ําเกินไป
    4.2 ปริมาณเนื้อพลาสติกเหลวต่อ Shot ไม่พอเพียง
    4.3 พลาสติกเกิดการหดตัวมากเกินไป เมื่อเย็นตัวเนื่องจากอุณหภูมิ พลาสติกเหลวสูงเกินไป
    4.4 เวลาการหล่อเย็นของชิ้นงาน (Cooling Time) สั้นเกินไป

    A :
    4.1 ปรับเพิ่มความดันในการฉีด
    4.2 เพิ่มปริมาณเนื้อพลาสติก
    4.3 ปรับลดอุณหภูมิกระบอกฉีด
    4.4 ปรับลดอุณหภูมิแม่พิมพ์ และเพิ่มเวลาการหล่อเย็น

  5. Q : เกิดครีบ (Flashing)
    5.1 ความเร็วในการฉีดสูงเกินไป
    5.2 ความดันในการฉีดมากเกินไป
    5.3 อุณหภูมิพลาสติกเหลวสูงเกินไป

    A :
    5.1 ปรับลดความเร็วในการฉีด
    5.2 ปรับลดความดันในการฉีด
    5.3 ปรับลดอุณหภูมิพลาสติกเหลว

  6. Q : เกิดการโก่งงอ (Warpage)
    6.1 ความดันการฉีดยํ้ามากเกินไป
    6.2 เวลาในการฉีดย้ำนานเกินไป
    6.3 เวลาในการหล่อเย็นน้อยเกินไป

    A :
    6.1 ปรับลดความดันย้ำลง
    6.2 ปรับลดเวลาในการย้ำ
    6.3 เพิ่มเวลาการหล่อเย็นให้นานขึ้น

  7. Q : ผิวชิ้นงานไม่มันเงา
    7.1 เกิดจากการขัดเงาผิวด้านในแม่พิมพ์ไม่ดีพอ
    7.2 อุณหภูมิแม่พิมพ์ต่ําเกินไป
    7.3 อุณหภูมิพลาสติกเหลวต่ําเกินไป
    7.4 เนื้อพลาสติกสัมผัสกับผิวแม่พิมพ์ไม่ดีพอ

    A :
    7.1 ทําการขัดเงาผิวในแม่พิมพ์
    7.2 ปรับเพิ่มอุณหภูมิแม่พิมพ์
    7.3 ปรับเพิ่มอุณหภูมิกระบอกฉีด
    7.4.1 เพิ่มความดันในการฉีด และความเร็วในการฉีด
    7.4.2 เพิ่มปริมาณเนื้อพลาสติกเหลวต่อการฉีด
    7.4.3 เพิ่มความดันย้ำ

  1. Q : ฟองอากาศภายในชิ้นงาน
    1.1 ความชื้นมากเกินไป
    1.2 ให้ความร้อนเร็วเกินไป
    1.3 อุณหภูมิในการขึ้นรูปไม่สม่ําเสมอ

    A :
    1.1.1 อบหรือให้ความร้อนชีทก่อนน่าเข้าสู่กระบวนการขึ้นรูปด้วยความร้อน ทั้งนี้
    1.1.2 ระยะเวลาในการอบหรือให้ความร้อนขึ้นกับความหนาของชีทที่ต้องการ
    1.1.3 ให้ความร้อนแก่ชีททั้ง 2 ด้าน
    1.1.4 ตั้งอุณหภูมิให้ต่ำลง (เพิ่มระยะเวลาในการ ระเหยออกของน่าหรือความชื้น)
    1.2.1 ลดอุณหภูมิการขึ้นรูป
    1.2.2 ลดอัตราเร็วในการให้ความร้อน
    1.2.3 เพิ่มระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ให้ความร้อนกับชีท
    1.3.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความร้อน
    1.3.2 ปรับอุณหภูมิของแต่ละส่วนของการขึ้นรูปให้เหมาะสม
    1.3.3 ติดตั้งตะแกรงกรองเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของความร้อนที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งมากจนเกินไป

  2. Q : ชิ้นงานเกิดการเปลี่ยนสี
    2.1 อุณหภูมิในการขึ้นรูปสูงเกินไป

    A :
    2.1.1 ลดอุณหภูมิการขึ้นรูป
    2.1.2 ลดเวลาที่ใช้ในการขึ้นรูป
    2.1.3 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความร้อน หากพบปัญหาเกิดซ้ำเฉพาะบริเวณเดิม

  3. Q : เกิดเส้นบนชีทหรือชิ้นงาน
    3.1 อุณหภูมิของหัวอัดขึ้นรูปต่ำเกินไป
    3.2 อุณหภูมิของแม่พิมพ์ต่ำเกินไป
    3.3 การควบคุมอุณหภูมิของแม่พิมพ์ไม่ดีพอ
    3.4 อุณหภูมิของชีทสูงเกินไป

    A :
    3.1.1 เพิ่มอุณหภูมิของหัวอัดขึ้นรูป
    3.2.1 เพิ่มอุณหภูมิของแม่พิมพ์
    3.3.1 เพิ่มปริมาณหรือขนาดของอุปกรณ์ให้ความเย็น
    3.3.2 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความเป็นไม่ให้เกิดการอุดตัน
    3.4.1 ลดอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการขึ้นรูป

  4. Q : เกิดการย้อย/แอ่นของชีท
    4.1 อุณหภูมิของชีทสูงเกินไป
    4.2 อัตราการไหลของเม็ดพลาสติกสูงเกินไป

    A :
    4.1.1 ลดอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการขึ้นรูป
    4.2.1 เลือกใช้เม็ดพลาสติกเกรดที่มีค่าอัตราการไหลต่ำลง

  5. Q : ชิ้นงานที่ขึ้นรูปได้ไม่สมบูรณ์
    5.1 อุณหภูมิของชีทต่ำเกินไป
    5.2 แรงดูดสุญญากาศไม่เพียงพอ
    5.3 การดูดสุญญากาศไม่เร็วพอ

    A :
    5.1.1 เพิ่มระยะเวลาการให้ความร้อนแก่ชีท
    5.1.2 เพิ่มอุณหภูมิการขึ้นรูป
    5.1.3 เพิ่มอุปกรณ์ให้ความร้อน
    5.1.4 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความร้อน หากพบปัญหาเกิดซ้ำเฉพาะบริเวณเดิม
    5.2.1 เพิ่มจํานวน และ / หรือขนาดของช่องสุญญากาศ
    5.3.1 ตรวจสอบการรั่วของอุปกรณ์ดูดสุญญากาศ
    5.3.2 ใช้ช่องสุญญากาศขนาดใหญ่ขึ้นในพื้นที่ที่จําเป็น

  6. Q : เกิดจุดบนชีทบนฝั่งที่สัมผัสแม่พิมพ์
    6.1 อุณหภูมิของชีทสูงเกินไป
    6.2 รูสุญญากาศมีขนาดใหญ่เกินไป

    A :
    6.1.1 ลดอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการขึ้นรูป
    6.2.1 ปิดหรือปรับขนาดรูสุญญากาศให้เล็กลง

  7. Q : ชิ้นงานติดบนแม่พิมพ์
    7.1 อุณหภูมิของชิ้นงานสูงเกินไป
    7.2 แม่พิมพ์มีส่วน undercut ที่ขัดขวางการถอดชิ้น
    7.3 งานออกจากแบบ

    A :
    7.1.1 เพิ่มรอบการให้ความเย็น
    7.1.2 ลดอุณหภูมิแม่พิมพ์ลงเล็กน้อย
    7.2.1 เพิ่มความดันอากาศ
    7.3.1 เคลื่อนชิ้นงานหลังการขึ้นรูปออกจากแม่พิมพ์ให้เร็วขึ้น

  8. Q : ความหนาของชิ้นงานไม่สม่ำเสมอ
    8.1 การย่อยของชีทไม่เหมาะสม
    8.2 เกิดจุดร้อนหรือเย็นในชีท
    8.3 อุณหภูมิของแม่พิมพ์ต่ำเกินไป

    A :
    8.1.1 ให้ความร้อนแก่ชีทอย่างสม่ำเสมอ
    8.2.1 ควบคุมความร้อนให้สม่ำเสมอ
    8.2.2 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความร้อน
    8.3.1 เพิ่มอุณหภูมิของแม่พิมพ์
    8.3.2 ตรวจสอบระบบควบคุมอุณหภูมิหรือการอุดตันของเครื่อง
    8.3.3 การกระจาย

  9. Q :ชิ้นงานผิดรูป
    9.1 อุณหภูมิการเย็นตัวของชิ้นงานไม่สม่ำเสมอ
    9.2 การกระจายตัวของผิวชิ้นงานไม่สม่ำเสมอ
    9.3 แบบแม่พิมพ์ไม่เหมาะสม
    9.4 อุณหภูมิแม่พิมพ์ต่ำเกินไป

    A :
    9.1.1 เพิ่มช่องนํ้าหล่อเย็นในแม่พิมพ์หรือเพิ่มขนาด
    9.1.2 ตรวจสอบการต่ออุปกรณ์หล่อเย็น
    9.2.1 แก้ปัญหาตามข้อ 8
    9.3.1 เพิ่มช่องสุญญากาศ
    9.3.2 เพิ่มช่องน้ำหล่อเย็นในส่วนการตัดชิ้นงาน
    9.4.1 เพิ่มอุณหภูมิแม่พิมพ์

  10. Q : แผ่นชีทไหม้
    10.1 อุณหภูมิของผิวชีทร้อนเกินไป

    A :
    10.1.1 ลดเวลาในการให้ความร้อนลง
    10.1.2 ลดอัตราเร็วในการให้ความร้อนลง

  11. Q : ชีทหรือชิ้นงานมีลักษณะเป็นใยย่นยับ
    11.1 อุณหภูมิของชีทร้อนเกินไป
    11.2 เกิดการย่อยของชีทมากเกินไป
    11.3 แรงดูดสุญญากาศไม่เพียงพอ

    A :
    11.1.1 ลดอุณหภูมิการขึ้นรูป
    11.1.2 ลดเวลาในการให้ความร้อนลง
    11.2.1 ลดความร้อนที่ใช้ลงให้เหมาะสม
    11.3.1 ตรวจสอบการทํางานของเครื่องดูดสุญญากาศของแม่พิมพ์
    11.2.2 เพิ่มรูหรือช่องดูดสุญญากาศถ้าจําเป็น

  12. Q : แถบสีขาวบนชีท
    12.1 อุณหภูมิของชีทต่ำเกินไป

    A :
    12.1.1 เพิ่มอุณหภูมิในกระบวนการขึ้น
    12.1.2เพิ่มอัตราเร็วของเครื่องดูดสุญญากาศ

  13. Q : ความบกพร่องของพื้นผิว
    13.1 ผิวแม่พิมพ์มีรอยนูนเกิดขึ้น
    13.2 แผ่นชีทหรือแม่พิมพ์สกปรก

    A :
    13.1.1 เกิดการเก็บกับอากาศไว้ภายใน ซึ่งอาจแก้ไขได้โดยวิธีการพ่นทราย (Sand Blast) ขนาด #30
    13.2.1 ทําความสะอาดแผ่นชีท และ / หรือพื้นผิวแม่พิมพ์ก่อนดำเนินการขึ้นรูปชิ้นงาน

  14. Q : เกิดจุดหรือแนวสว่างบนชิ้นงาน
    14.1 แผ่นชีทได้รับความร้อนสูงเกินไปในบางบริเวณ

    A :
    14.1.1 ปรับอุณหภูมิของเครื่องควบคุมความร้อนในบริเวณที่พบปัญหาให้เหมาะสม
    14.1.2 ติดตั้งตะแกรงกรองเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของความร้อนที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งมากจนเกินไป

  15. Q : ผนังบริเวณมุมของชิ้นงานบางกว่าปกติ
    15.1 เทคนิคการดูดสุญญากาศเพื่อให้ได้รูปร่างชิ้นงาน
    15.2 อุณหภูมิของแผ่นชีทไม่สม่ำเสมอ

    A :
    15.1.1 ทำการตั้งยึดแผ่นชีทก่อนเข้าสู่กระบวนการดูดด้วยสุญญากาศ
    15.2.1 ปรับอุณหภูมิของการให้ความร้อนให้สม่ำเสมอกันทั้งแผ่นชีท
    15.2.2 ขยายขอบเขตของการให้ความร้อนออกไปอีกประมาณ 10% จากศูนย์กลาง

  16. Q : เกิดการฉีกขาดของแผ่นชีทในขั้นตอนการดูดสุญญากาศ
    16.1 การออกแบบแม่พิมพ์ไม่เหมาะสม
    16.2 แผ่นชีทเย็นเกินไป

    A :
    16.1.1 เพิ่มขนาดองศาของมุม
    16.2.1 เพิ่มเวลา และอุณหภูมิในการให้ความร้อน
    16.2.2 พยายามรักษาอุณหภูมิให้ทั่วถึงทั้งแผ่นชีท

  1. Q : ความหนาผนังท่อไม่สม่ําเสมอ
    1.1 ติดตั้งแกนหัวดายไม่เหมาะสม
    1.2 ติดตั้งชุดหัวดายน์และชุดอุปกรณ์ดึงท่อไม่เสมอกัน
    1.3 อุณหภูมิในชุดหัวดายน์มีความร้อน / เย็นเป็นช่วง ๆ

    A :
    1.1.1 ปรับตําแหน่งแกนหัวดายให้เหมาะสม
    1.2.1 ปรับตั้งชุดหัวดายน์และชุดอุปกรณ์ดึงท่อให้เสมอกัน
    1.3.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ความร้อนภายในชุดหัวดายน์

  2. Q : ตําหนิที่เกิดขึ้นบนผิวท่อบริเวณหน้าดาย
    2.1 ปัญหาความชื้นของเม็ดพลาสติก
    2.2 การผสมของเม็ดพลาสติกและสารเติมแต่งเม็ดพลาสติกที่ไม่เหมาะสม
    2.3 มีสิ่งปนเปื้อน
    2.4 มีความร้อนสูงเกินไป

    A :
    2.1.1 อบเม็ดพลาสติกก่อนใช้งาน
    2.1.2 ลดความเร็วรอบสกรู
    2.1.3 ตรวจสอบสถานที่เก็บเม็ดพลาสติกโดยให้เก็บในที่มิดชิด
    2.2.1 เพิ่มความเร็วรอบหรือลดรูพรุนของแผ่น screen pack เพื่อให้เกิดความดันย้อนกลับ (back pressure) มากเพื่อให้ผสมกันดีขึ้น
    2.3.1 ตรวจสอบสิ่งปนเปื้อนรองเม็ดพลาสติกและ สารเติมแต่งเม็ดพลาสติกก่อนใช้งาน
    2.3.2 เก็บเม็ดพลาสติกให้อยู่ในที่ ๆ ปราศจากความชื้นและฝุ่นละออง
    2.4.1 ตรวจสอบระบบอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ

  3. Q : ผิวท่อด้านนอก / ด้านในไม่เรียบ
    3.1 ช่วงอุณหภูมิหลอมเหลวของเม็ดพลาสติกต่ําเกินไป
    3.2 สิ่งปนเปื้อนติดบริเวณ mandnal หรือ sizing sleeves
    3.3 ความเร็วของการอัดรีดที่สูงเกินไปอาจทําให้เกิด melt
    3.4 หากรอยตําหนิเกิดที่ผิวท่อด้านล่าง ปัญหาอาจเกิดจากระบบน้ําหล่อเย็นไม่ทั่วถึง
    3.5 อุปกรณ์ปรับขนาดไม่ตรงกับชุดหัวดายน์
    3.6 ปัญหาความชื้นของเม็ดพลาสติก
    3.7 ระยะทางของดายน์แคบเกินไป

    A :
    3.1.1 เพิ่มอุณหภูมิหน้าดาย
    3.1.2 เพิ่มอุณหภูมิการอัดรีด
    3.2.1 ตรวจสอบความสะอาดที่ mandrel หรือ sizing sleeves
    3.3.1 เพิ่มอุณหภูมิหลอมเหลวและลดรอบการอัดรีดลง
    3.4.1 ติดตั้งระบบน้ําหล่อเย็นในส่วนด้านล่างเพิ่ม
    3.5.1 ตรวจสอบการติดตั้งให้ตรงกัน
    3.6.1 อบเม็ดพลาสติกก่อนใช้
    3.6.2 ลดความเร็วรอนสกรู
    3.6.3 ตรวจสอบสถานที่เก็บเม็ดพลาสติกโดยให้เก็บในที่ มิดชิด
    3.7.1 ปรับเพิ่มระยะห่างดาย

  4. Q : เส้นผ่านศูนย์กลางท่อไม่กลม
    4.1 อุปกรณ์ปรับขนาดไม่เหมาะสมหรือมีขนาดไม่ถูกต้อง
    4.2 อุณหภูมิของท่อยังไม่เย็นพอขณะอยู่ในส่วนดึงท่อ

    A :
    4.1.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ปรับขนาด
    4.2.1 ตรวจสอบอุณหภูมิหล่อเย็นเพื่อให้ท่อมีอุณหภูมิเย็นเพียงพอก่อนเข้าส่วนดึงท่อ

  5. Q : การเกิดรูอากาศในเนื้อท่อ
    5.1 ปัญหาความชื้นของเม็ดพลาสติก
    5.2 การเสื่อมสภาพของเม็ดพลาสติก
    5.3 ชุดหัวดายสกปรก

    A :
    5.1.1 อบเม็ดพลาสติกก่อนใช้
    5.1.2 ลดความเร็วรอบสกรู
    5.1.3 ตรวจสอบสถานที่เก็บเม็ดพลาสติกโดยให้เก็บในที่มิดชิด
    5.2.1 ลดอุณหภูมิพลาสติกเหลว
    5.2.2 เพิ่มความเร็วรอบสกรูในเครื่องอัดรีด
    5.2.3 ลดความดันย้อนกลับในเครื่องอัดรีด 5.3.1 ทําความสะอาดฝุ่นละออกและสิ่งปนเปื้อนที่ติดอยู่ที่หน้าดายน์ออกเป็นประจํา

  6. Q : คราบไหม้สะสมหน้าดาย
    6.1 อุณหภูมิหลอมเหลวของเม็ดสูงเกินไป
    6.2 ช่วงอุณหภูมิหน้าดายน์สูงเกินไป

    A :
    6.1.1 ลดความดันย้อนกลับโดยการเพิ่มเส้นผ่าศูนย์กลางของดายน์หรือช่องว่างของดาย
    6.1.2 ลดอุณหภูมิพลาสติกเหลวโดยลดอัตราการอัดรีด
    6.1.3 ลดแรงเฉือนลงโดยการลดความเร็วรอบสกรูหรือเพิ่มความลึกของช่องสกรู
    6.2.1 ตรวจสอบช่วงอุณหภูมิหน้าดายน์ให้เหมาะสม